คำสาบานต่อหน้าเพื่อนรัก คำสาบานที่ไม่อาจจะผิดคำพูดได้ ?

คำสาบานต่อหน้าเพื่อนรัก สวัสดีค่ะ ตอนนั้นเรากำลังเรียนอยู่ชั้นตัดผมสมัยเมื่อ 30 ปีที่แล้วบ้านของเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้และค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากความเจริญ กว่าจะถึงโรงเรียนก็ประมาณ 7:45 น แล้วล่ะซึ่งกิจวัตรของเราก็เป็นไปอย่างนี้ทุกวันจนอยู่มาวันหนึ่งเพื่อนรักของเรานั้นเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันโดยเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดนั้นมันได้เกิดขึ้นในวันหนึ่งวันนั้นมันเป็นวันเสาร์โรงเรียนของเราก็เลยอยู่ตอนช่วงเช้าเรากับเพื่อนๆรวมกลุ่มกันได้ประมาณ 5 คนแล้วชวนกันไปเก็บดอกบัวก็กะว่าจะเอามาให้แม่นำไปบูชาพระซึ่งวันนั้นที่ไปด้วยการก็มีเพื่อนชื่อไอ้น้องเหยไอ้ศร  

บึงน้ำแห่งนั้นมันอยู่ไกลจากหมู่บ้านเราไปประมาณ 5 กิโลเมตรซึ่งพวกเราก็ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะเดินลัดทุ่งนาไปถึงที่นานก็ไปถึงที่บึงแห่งนั้นแล้วพวกเราก็เห็นว่าน้ำเลยมึงนั้นมันมีสีออกเขียวๆแลดูน่ากลัวซึ่งนั่นก็ทำให้เพื่อนบางคนในกลุ่มได้พูดออกมาว่าไม่ต้องเอาดอกบัวแล้วก็ได้นะพวกเรากลับกันเถอะแก่แล้วไอ้เพื่อนที่ชื่อพิมพ์มันก็บอกว่าเดินมาถึงที่นี่แล้วจะกลับบ้านมือเปล่าเหรอ แล้วไปทำอีท่าไหนก็ไม่รู้มันจมหายไปต่อหน้าพวกเรารีบลงไปงมหากันแล้วก็หาไม่เจอทั้งๆที่มึงนั้นมันก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรมากมายเพียงแค่บางจุดมันอาจจะลึกจนสุดปลายมือของผู้ใหญ่เราเลยบอกให้กลับไปในหมู่บ้านผู้ใหญ่และชาวบ้านให้มาช่วยค้นหาไอ้ผิดวันนั้นชาวบ้านที่รู้ข่าวเขาก็มาช่วยกันค้นหาตั้งหลายคนแต่ไม่ว่าจะหายังไงก็หาไม่เจอจนกระทั่งมืดค่ำลงแล้วผู้ใหญ่บ้านเลยบอกชาวบ้านให้กลับกันไปก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเริ่มมาค้นหากันใหม่

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังจะหันหลังกลับกันนั้นจู่ๆก็มีวัตถุบางอย่างที่ดูคล้ายกับกฎหมายกำลังรออยู่กลางบึงน้ำด้วยความมืดสลัวของอย่างคำทำให้ตอนแรกนั้นยังมองไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่แต่พอเห็นสายตามองดูดีๆแล้วก็เพราะวันนั้นร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนเราเองคนต่างพากันแตกตื่นพ่อแม่ของไอ้พิมนั้นร้องไห้จนแทบจะขาดใจชาวบ้านเลยพากันรีบลงไปนำศพขึ้นมาบนฟ้าจากนั้นก็นำร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนเรานั้นกลับมาทำพิธีที่บ้านงานศพของเพื่อนเรานั้นได้ตั้งสวดพระอภิธรรมอยู่ 2 คืน 3 วันพอถึงวันจันทร์เราก็ปั่นจักรยานไปโรงเรียนตามปกติซึ่งเส้นทางที่เราใช้สัญจรนั้นมันจะต้องผ่านทางป่าช้า เรื่องหลอนชวนคนหัวลุก

ซึ่งเราก็เดินทางผ่านเป็นประจำจนฉีดไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรกับป่าช้านั่นอีกแล้วแล้วมันก็มีอยู่วันหนึ่งทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรมเราก็เลยได้กลับบ้านค่ำตอนเวลาประมาณ 8:00 น เราก็ปั่นจักรยานมาถึงป่าช้าพอดีซึ่งบรรยากาศในตอนนั้นมันทั้งวังเวงและเย็นเยื่อชวนให้ขนลุกขนพองเอามากๆเราปั่นจักรยานไปถึงหน้าป่าช้า ไอ้หนึ่งเสียงนั้นมันเรียกชื่อเราถึง 3 ครั้งแต่ที่น่ากลัวคือสิ่งนั้นมันดังออกมาจากข้างในป่าช้าแล้วตอนค่ำมืดป่านนี้ใครมันจะมาอยู่ในป่าช้ากันล่ะไอ้เราก็นึกว่าจะร้องไห้ออกมาแล้วรีบปั่นจักรยานหนีอย่างไม่คิดชีวิตแล้วเราก็จะออกแรงปั่นมากเท่าไหร่แต่จักรยานของเราก็ไม่ได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเลยสักนิด

จักรยานยังอยู่ที่เดิมเราก็เลยออกแรงถี่แล้วร้องไห้ไม่ยอมหยุดป้าก็พยายามท่องนะโมตัสสะแบบผิดๆถูกๆจนผ่านไปสักพักมันก็มีลมพัดวูบเข้ามาใส่ตัวเราแรงมากแต่พอมองดูรอบตัวก็ไม่เห็นว่ามันจะมีต้นไม้ต้นไหนประดิษฐ์เลยเหมือนว่ามีใครบางคนไปโกยเม็ดทรายมาโยนใส่หัวลากแต่พอหันไปดูก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเราก็เลยนึกถึงพระคุณบิดามารดาและพระคุณครูบาอาจารย์อยู่ในใจจักรยานก็สามารถปั่นออกไปได้ตามปกติเพราะเราปั่นจักรยานไปถึงหน้าหมู่บ้านก็เห็นแม่ยืนถือไฟฉายอยู่กับลุงป้าน้าอาที่เขาพากันออกมารวมตัวเพื่อจะไปช่วยกันตามหาเรานั่นเองเพราะมันค่ำมืดดึกดื่นป่านนี้แล้วแต่เรายังกลับไม่ถึงบ้านพ่อแม่เห็นหน้าลาวท่านก็ถามว่าทำไมกลับช้าจังลูกเราก็พูดออกมาได้คำเดียวว่าที่รักที่รักที่รักจากนั้นแม่เลยพาเราเข้าบ้านกินข้าวอาบน้ำแล้วเข้านอนตอนเช้าของวันต่อมาเราถึงกลับจับไข้หัวโกร๋นเล่นผมร่วงออกมาเป็นกระจกกระจกรักษาอาการไข้ยังไงก็ไม่หายแม่เลยพาเราไปหาหลวงตาเพื่อขอให้ท่านช่วยดูดวงไทยหลวงตาเลยบอกกับแม่ว่าให้ไปขอชีวิตกับวิญญาณเพื่อนรักของเขาที่ตายไป

แล้วพ่อแม่ได้ฟังอย่างนั้นก็แปลกใจว่าทำไมหลวงตารู้ว่าเพื่อนรักของเราตาทั้งๆที่ยังไม่ได้บอกอะไรเลยแล้วหลวงตาก็ได้พูดต่ออีกว่าไม่ขอชีวิตลูกสาวอยู่กับเพื่อนของเขาที่ตายไปแล้วเพราะว่าลูกสาวของโยไม่เคยสาบานว่าจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายการฆ่าออกได้ลูกสาวของโยมก็จะรอแต่ถ้าขอไม่ได้ก็ทำใจนะโยมหลวงตาก็ทำพิธีจุดธูปยื่นให้แม่ส่วนเราก็ได้แต่นอนฟังนิ่งๆเราไม่สามารถพูดออกมาได้เหมือนว่ามีใครเอามือมาปิดปากไว้ส่วนแม่เราก็ทำตามที่หลวงตาท่านบอกแม่ได้กล่าวคำว่าพิมพ์เอ้ยแม่ก็มีลูกสาวคนเดียวแม่ขอเถอะขอให้ไอ้หนึ่งมันอยู่กับแม่ลูกก็ไปอยู่คนละภพกันแล้วอยู่คนละโลกใช้ไฟคนละดวงแล้วปล่อยให้ไอ้หนึ่งมันอยู่กับแม่เถอะนะแล้วแม่ก็กราบลงที่พื้น 3 ทีจากนั้นหลวงตาท่านก็อาบน้ำมนต์ไทยและยังทำน้ำมนต์ให้กินอีกด้วยจากนั้นผ่านไป 3 วันเราก็สามารถลุกขึ้นเดินเหินได้ตามปกติเหมือนคนที่ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยมาก่อนหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นแม่ก็ให้เราไปพักกับญาติพี่น้องที่บ้านเขาอยู่ใกล้โรงเรียนไม่ให้เราต้องได้ปั่นจักรยานไกลๆแล้วและมีก็คือเรื่องราวทั้งหมด เรื่องเล่าผี